This printed article is located at
https://investor-th.pf.co.th/company_background.html
Corporate's Background
บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) จัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2528 โดยกลุ่มผู้บริหารหมู่บ้านจัดสรรมณียา ด้วยทุนจดทะเบียนเริ่มแรกจำนวน 300,000 บาท ต่อมาในวันที่ 19 ตุลาคม 2536 บริษัทฯ ได้จดทะเบียนแปรสภาพเป็นบริษัทมหาชนจำกัด และวันที่ 1 มิถุนายน 2536 บริษัทฯ ได้นำหลักทรัพย์เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในหมวดอสังหาริมทรัพย์
จากผลของการเกิดวิกฤตการณ์ทางการเงินและเศรษฐกิจของประเทศ และผลกระทบจากการประกาศลอยตัวค่าเงินบาทเมื่อปี 2540 เป็นต้นมา ส่งผลให้บริษัทฯ ประสบปัญหาทางการเงิน และเข้าสู่กระบวนการการฟื้นฟูกิจการและปรับโครงสร้างหนี้และภายหลังจากที่บริษัทฯ สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขในการฟื้นฟูกิจการและปรับโครงสร้างหนี้ได้ครบถ้วน ศาลล้มละลายกลางได้มีคำสั่งยกเลิกการฟื้นฟูกิจการในปี 2547 และบริษัทฯได้ทยอยชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ตามแผนฟื้นฟูเรื่อยมาจนปลดภาระหนี้ทั้งหมดในปี 2554
ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2566 บริษัทฯ มีทุนจดทะเบียน 10,011,313,269 บาท คิดเป็นหุ้นสามัญ 10,011,313,269 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท และทุนจดทะเบียนชำระแล้ว 10,011,080,604 บาท คิดเป็นหุ้นสามัญ 10,011,080,604 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท
การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ
ปี 2566
- ที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2566 เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2566 ได้มีมติอนมัติการแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับของบริษัท ข้อ 24. ข้อ 25. ข้อ 30. ข้อ 31. ข้อ 33. ข้อ 34. ข้อ 35. และข้อ 37. เพื่อให้สอดคล้องกับการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติบริษัท มหาชน จำกัด (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2565
ปี 2565
ณ วันที่ 25 เมษายน 2565 ที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นของบริษัทประจำปี 2565 ได้มติ ดังนี้
- ลดทุนจดทะเบียนของบริษัท จากทุนจดทะเบียนเดิม 9,534,609,075 บาท ให้เหลือทุนจดทะเบียน 9,534,584,066 บาท แบ่งออกเป็นหุ้นสามัญจำนวน 9,534,584,066 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท โดยการตัดหุ้นสามัญจดทะเบียนที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท รวม 25,009 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท รวม 25,009 บาท ทั้งนี้ เป็นหุ้นที่เหลือจากการจัดสรรหุ้นปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นตามที่ได้รับอนุมัติจากที่ประชุมสามัญผู้ถือของบริษัทประจำปี 2563 ซึ่งประชุมเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2563
- เพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัท จากทุนจดทะเบียนเดิม 9,534,584,066 บาท ให้เป็นทุนจดทะเบียน 10,011,313,269 บาท กล่าวคือ ให้เพิ่มทุนจดทะเบียนขึ้นอีก 476,729,203 บาท โดยการออกหุ้นสามัญใหม่เป็นจำนวน 476,729,203 หุ้น มูลค่าเป็นที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท และให้จัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่ออกใหม่ทั้งจำนวน 476,729,203 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท รองรับการจ่ายเงินปันผลเป็นหุ้นสามัญสำหรับผลการดำเนินงานประจำปี 2564 ให้แก่ผู้ถือหุ้นของบริษัท
ปี 2564
- ได้โอนขายธุรกิจ Kiroro Resort Holding Co., Ltd. (‘KRH”) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) ที่บริษัทถือหุ้นทั้งทางตรงและทางอ้อมในสัดส่วนร้อยละ 99.70 ให้แก่ GODO KAISHA KIRORO MANAGEMENT (“GKKM”) และ NAPIER TOKUTEI MOKUTEKI KAISHA (“NAPIER TMK”) โดย GKKM เป็นบริษัท และ NAPIER TMK เป็นกองทุนทรัสต์ที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายของประเทศญี่ปุ่น ณ วันที่ 22 พฤศจิกายน 2564 ในราคา 15,000,000,000 เยน หรือคิดเป็นเงินบาท 4,357,590,000 บาท (อัตราแลกเปลี่ยน 100 เยน เท่ากับ 29.0506) และหลังจากที่ KRH ได้โอนธุรกิจสกีและโรงแรมในประเทศญี่ปุ่นต่อไป
ปี 2563
- ณ วันที่ 14 พฤษภาคม 2563 ที่ประชุุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2563 ได้มีมติ ดังนี้
- ลดทุนจดทะเบียนของบริษัท จากทุนจดทะเบียนเดิม 10,022,174,312.- บาท ให้เหลือทุนจดทะเบียน 8,667,826,432.- บาท แบ่งออกเป็นหุ้นสามัญจำนวน 8,667,826,432 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1.- บาท โดยการตัดหุ้นสามัญ ที่ยังมิได้นำออกจำหน่ายจำนวน 1,354,347,880 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1.- บาทจากการยกเลิกการจัดสรร และเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่ออกใหม่ให้แก่ผู้ถือหุ้น เดิมของบริษัท ตามสัดส่วนจำนวนหุ้นที่ผู้ถือหุ้นแต่ละรายถืออยู่ (Right Offering) ในอัตราส่วน 8 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นใหม่ ในราคาเสนอขายหุ้นละ 1.- บาท จำนวนไม่เกิน 1,083,478,304 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1.- บาท และ ยกเลิกการออกใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัทจำนวนไม่เกิน 270,869,576 หน่วย ที่บริษัทจะจัดสรรใบสำคัญแสดงสิทธิให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัท เฉพาะรายที่ได้ใช้สิทธิจองซื้อหุ้้นสามัญเพิ่มทุนที่เสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามที่เคยได้รับอนุมัติจากที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นของบริษัทครั้งที่ 1/2562 เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2562
- เพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัท จากทุนจดทะเบียนเดิม 8,667,826,432.- บาท ให้เป็นทุนจดทะเบียน 9,534,609,075.- บาท กล่าวคือ ให้เพิ่มทุนจดทะเบียนขึ้นอีก 866,782,643.- บาท โดยการออกหุ้นสามัญใหม่เป็นจำนวน 866,782,643 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1.- บาท เพื่่อนำหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่่ออกใหม่จัดสรรเป็นหุ้นปันผลสำหรับผลการดำเนินงานประจำปี 2562 ให้แก่ผู้ถือหุ้นของบริษัท
ปี 2562
- ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทครั้งที่ 1/2562 เมื่อวันที่ 24 มกราคม 2562 มีมติอนุมัติการซื้อหุ้นสามัญบริษัท เพอร์เฟค พรีแฟบ จำกัด ทั้งหมดที่ถือในนาม บริษัท เซ็นเตอร์ ออฟ สแตนดาร์ด พรีคาสท์ จำกัด จำนวน 1,200,000 หุ้น หรือคิดเป็นเป็นสัดส่วนร้อยละ 20 ดังนั้นทำให้สัดส่วนการถือหุ้น บริษัท เพอร์เฟค พรีแฟบ จำกัด ของบริษัทฯ เพิ่มขึ้นเป็นอัตราร้อยละ 100
- ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทครั้งที่ 1/2562 เมื่อวันที่ 24 มกราคม 2562 ได้มีมติให้จัดตั้งบริษัทย่อยดังนี้
- บริษัท พีเอฟ ฟอเรสทรี จำกัด (PF Forestry Co., Ltd.) ทุนจดทะเบียน 15,000,000 บาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญ จำนวน 150,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 100 บาท ทุนที่เรียกชำระแล้ว 15,000,000 บาท PF ถือหุ้นใน สัดส่วนร้อยละ 100
- บริษัท พีเอฟเอส 1 จำกัด ทุนจดทะเบียน 5,000,000 บาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 50,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ หุ้นละ 100 บาท ทุนที่เรียกชำระแล้ว 5,000,000 บาท บริษัท พีเอฟ ฟอเรสทรี จำกัด ถือหุ้นในสัดส่วน ร้อยละ 100
- บริษัท พีเอฟเอส 2 จำกัด ทุนจดทะเบียน 5,000,000 บาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 50,000 หุ้น มูลค่าที่ ตราไว้หุ้นละ 100 บาท ทุนที่เรียกชำระแล้ว 5,000,000 บาท บริษัท พีเอฟ ฟอเรสทรี จำกัด ถือหุ้นในสัดส่วน ร้อยละ 100
- ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทครั้งที่ 4/2562 เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2562 ได้มีมติให้จัดตั้งบริษัทย่อยอีก 3 บริษัท คือ บริษัท พีเอฟเอชเคแอล 4 จำกัด (“PFHKL 4”) บริษัท พีเอฟเอชเคแอล 5 จำกัด (“PFHKL 5) และบริษัท พีเอฟเอชเค แอล 6 จำกัด (“PFHKL 6”) โดยแต่ละบริษัทมีทุนจดทะเบียน และทุนเรียกชำระแล้ว จำนวน 50,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 100 บาท เป็นมูลค่า 5,000,000 บาท และได้โอนขายหุ้นสามัญ ทั้งหมดที่ PF ถืออยู่ในสัดส่วนร้อยละ 100 ใน PFHKL 4 ให้ กับบริษัท เอชเคแอล เพอร์เฟค จำกัด (HKLPF)
- ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทครั้งที่ 4/2562 เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2562 ได้มีมติอนุมัติการร่วมทุนในบริษัท พีเอฟ ฟอเรสทรี จำกัด ระหว่างบริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) (“PF”) กับ Sumitomo Forestry Singapore Ltd. (“Sumitomo”) ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่มของ Sumitomo Forestry Co., Ltd. โดย PF และ Sumitomo ถือหุ้นใน บริษัท พีเอฟ ฟอเรสทรี จำกัด ในสัดส่วนร้อยละ 51 และ 49 ตามลำดับ และได้เพิ่มทุนจดทะเบียนจาก 15,000,000 บาท เป็น 500,000,000 บาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญ 5,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ต่อหุ้น 100 บาท โดย PF จะขายหุ้นสามัญ ของบริษัท พีเอฟ ฟอเรสทรี จำกัด จำนวน 245,000,000 บาท คิดเป็นร้อยละ 49 ให้แก่ Sumitomo
- ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2562 เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2562 ได้มีมติดังนี้
- ให้ลดทุนจดทะเบียนของบริษัท จากทุนจดทะเบียนเดิม 9,000,000,000 บาท ให้เหลือทุนจดทะเบียน 8,667,826,432 บาท แบ่งออกเป็นหุ้นสามัญจำนวน 8,667,826,432 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท ทั้งนี้เป็นหุ้นสามัญที่ยังมิได้นำออกจำหน่ายจำนวน 332,173,568 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ 1 บาท ทั้งนี้ เป็น หุ้นสามัญจดทะเบียนจำนวน 300,000,000 หุ้นที่คง เหลือจากการจัดสรรให้แก่บุคคลในวงจำกัด และเป็นหุ้นสามัญอีกจำนวน 32,173,568 หุ้น ซึ่งที่ประชุม วิสามัญผู้ถือหุ้นของบริษัทครั้งที่ 1/2559 ยังไม่มีมติให้จัดสรรใดๆ
- มีมติอนุมัติให้เพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัท จากทุนจดทะเบียนเดิม 8,667,826,432 บาท ให้เป็นทุนจดทะเบียน 10,022,174,312 บาท กล่าวคือ ให้เพิ่มทุน จดทะเบียนขึ้นอีก 1,354,347,880 บาท โดยการออกหุ้นสามัญใหม่เป็นจำนวน 1,354,347,880 หุ้น มูลค่า ที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท
- มีมติอนุมัติให้จัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่ออกใหม่ทั้ง จำนวน 1,354,347,880 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท
ดังนี้
- ให้บริษัทนำหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่ออกใหม่จำนวน ไม่เกิน 1,083,478,304 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท ออกจัดสรรและเสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้น เดิมของบริษัทตามสัดส่วนจำนวนหุ้นที่ผู้ถือหุ้น แต่ละรายถืออยู่ (Right Offering) ในอัตราส่วน 8 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นใหม่ (ในกรณีที่มีเศษหุ้นจาก การคำนวณให้ปัดทิ้ง) ในราคาเสนอขายหุ้นละ 1 บาท ซึ่งเป็นราคาที่เท่ากับมูลค่าหุ้นที่ตราไว้ ของบริษัทคือ หุ้นละ 1 บาท
- ในกรณีมีผู้ถือหุ้นเดิมจองซื้อหุ้นสามัญไม่ครบ ตามจำนวนที่ได้รับการจัดสรรตามข้อ 3.1 ข้างต้น หรือมีหุ้นคงเหลือไม่ว่ากรณีใดๆ ให้จัดสรรและ เสนอขายหุ้นที่เหลือดังกล่าวให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิม ของบริษัทที่ได้จองซื้อและชำระเงินค่าหุ้นสามัญ ที่จองซื้อเกินกว่าสิทธิของตนมาพร้อมกับการ จองซื้อและชำระเงินค่าหุ้นสามัญตามสิทธิในข้อ 3.1 ในราคาหุ้นละ 1 บาท โดยมอบอำนาจให้ คณะกรรมการบริหารของบริษัทหรือกรรมการ ผู้มีอำนาจกระทำการแทนบริษัทเป็นผู้พิจารณา จัดสรรและเสนอขายหุ้นที่เหลือดังกล่าวให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมที่ได้จองซื้อและชำระเงินค่าหุ้นสามัญที่จองซื้อเกินกว่าสิทธิของตน
- ให้บริษัทนำหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่ออกใหม่จำนวน ไม่เกิน 270,869,576 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท สำรองไว้เพื่อรองรับการใช้สิทธิตามใบ สำคัญแสดงสิทธิที่ออกและเสนอขายให้แก่ผู้ถือ หุ้นเดิมของบริษัทเฉพาะรายที่ใช้สิทธิจองซื้อหุ้น สามัญเพิ่มทุนที่เสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัทตามสัดส่วนการถือหุ้น (Right Offering) โดยใบสำคัญแสดงสิทธิ 1 หน่วยสามารถใช้สิทธิ ซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนได้ 1 หุ้น ในราคาการใช้ สิทธิหุ้นละ 1.50 บาท ซึ่งเป็นราคาไม่ต่ำกว่า มูลค่าหุ้นที่ตราไว้ของบริษัทคือ หุ้นละ 1 บาท
- ในการจัดสรรและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุน ของบริษัทข้างต้น มอบหมายให้คณะกรรมการ บริษัท และ/หรือคณะกรรมการบริหารของบริษัท และ/หรือกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทน บริษัท และ/หรือบุคคลที่ได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการบริษัทหรือคณะกรรมการบริหาร หรือกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนบริษัท มีอำนาจพิจารณากำหนดและเปลี่ยนแปลงรายละเอียดอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการจัดสรรและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุน และมีอำนาจใน การดำเนินการอื่นใดอันจำเป็นและสมควรเกี่ยวกับการจัดสรรและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุน ดังกล่าวได้ตามที่เห็นสมควร โดยปฏิบัติให้เป็นไป ตามกฎหมายและ/หรือระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป
- ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท คิโรโระ รีสอร์ท โฮลดิ้ง ครั้งที่ 2/2562 เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2562 ได้มีมติให้ควบ รวมบริษัทย่อย คือ บริษัท คิโรโระ แอสโซซิเอท จำกัด บริษัท คิโรโระ โฮเต็ล จำกัด และบริษัท คิโรโระ รีสอร์ท ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด เพื่อให้การบริหารงานมีประสิทธิภาพ และสะดวก รวดเร็วมากยิ่งขึ้น
ปี 2561
- ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทของบริษัท แกรนด์ แอสเสท โฮเทลส์ แอนด์
พรอพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) (“GRAND”) ครั้งที่ 1/2561 เมื่อวันพุธที่ 14
กุมภาพันธ์ 2561 มีมติกำหนดให้วันที่ 5 มีนาคม 2561
เป็นวันกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้น (Record Date)
เพื่อสิทธิในการจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 866,711,771 หุ้น
มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท เพื่อเสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมของ GRAND
ในอัตราส่วน 10 หุ้นเดิมต่อ 3 หุ้นใหม่ (ในกรณีที่มีเศษหุ้น
จากการคำนวณ ให้ปัดทิ้ง) ในราคาเสนอขายหุ้นละ 1
บาทและกำหนดวันจองซื้อและชำระเงินค่าหุ้นสามัญเพิ่มทุนดัง
กล่าวในระหว่างวันที่ 5 เมษายน 2561 และวันที่ 9-12เมษายน 2561 รวม 5 วันทำการ
- ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทครั้งที่ 4/2561 เมื่อวันที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2561
ได้มีมติอนุมัติให้บริษัท พร็อพเพอร์ตี้
เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) (“PF”) เข้าร่วมทุนกับ Hongkong Land Co., Ltd. (“HKL”)
จัดตั้งบริษัทร่วมทุนชื่อ บริษัท เอชเคแอล เพอร์เฟค จำกัด (HKL Perfect Co.,
Ltd.) เพื่อวัตถุประสงค์ในการลงทุนและพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อจำหน่าย
- ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทครั้งที่ 5/2561 เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2561
ได้มีมติอนุมัติให้บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) (“PF”)
เข้าร่วมทุนกับ Sekisui Chemical Company Limited (“Sekisui”) จัดตั้งบริษัท
ร่วมทุนชื่อ บริษัท พีเอฟ-เซกิซุย เจวี จำกัด
เพื่อลงทุนก่อสร้างและพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อจำหน่าย
- ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทครั้งที่ 6/2561 เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2561
ได้มีมติอนุมัติให้บริษัท พร็อพเพอร์ตี้
เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) (“บริษัท” หรือ “PF”) เข้าร่วมทุนกับบริษัท แกรนด์
แอสเสท โฮเทลส์ แอนด์ พรอพเพอร์ตี้จำกัด (มหาชน) (“GRAND”) ซึ่งเป็นบริษัทย่อย
และ Sumitomo Forestry Singapore Ltd. จัดตั้งบริษัทร่วมทุนชื่อ บริษัท แกรนด์
ริเวอร์ ฟอร์เรสท์ จำกัด
เพื่อลงทุนและพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์บริเวณถนนเจริญนครเพื่อ
จำหน่าย
ปี 2560
- บริษัทได้ร่วมทุนกับบริษัท ซูมิโตโม ฟอเรสทรี จำกัด และ บริษัท แกรนด์ แอสเสท
โฮเทลส์ แอนด์ พรอพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) จัดตั้งบริษัทร่วมทุนชื่อ บริษัท
แกรนด์ สตาร์ จำกัด เพื่อพัฒนาโครงการไฮเอนด์ลักช์ชัวรี่คอนโดมิเนียมใจกลางเมือง
- บริษัท แกรนด์ แอสเสท โฮเทลส์ แอนด์ พรอพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) (“GRAND”)
ได้จัดให้มีการประชุมประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2560
โดยได้มีมติที่สำคัญดังต่อไปนี้
- ลดทุนจดทะเบียนจากทุนจดทะเบียนเดิม 2,889,040,000 บาท เป็นทุนจดทะเบียน
2,889,039,237 บาท แบ่งออกเป็นหุ้นสามัญจำนวน 2,889,039,237 หุ้น
มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท
- เพิ่มทุนจดทะเบียนจากทุนจดทะเบียนเดิม 2,889,039,237 บาท เป็นทุนจดทะเบียน
5,000,000,000 บาท โดยการออกหุ้นสามัญใหม่จำนวน 2,110,960,763 หุ้น
มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท
- จัดสรรและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่ออกใหม่จำนวน 866,711,771 หุ้น
มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท
ให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนจำนวนหุ้นที่ผู้ถือหุ้นแต่ละรายถืออยู่ (Right
Offering) ในอัตราส่วน 10 หุ้นเดิมต่อ 3 หุ้นใหม่ ในราคาเสนอขายหุ้นละ 1 บาท
- จัดสรรและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่ออกใหม่จำนวน 1,244,248,992 หุ้น
มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท
รวมทั้งหุ้นสามัญที่คงเหลือหลังจากการจัดสรรให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามข้อ ค)
ให้แก่บุคคลในวงจำกัด
- ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2560
ได้มีมติการขายหุ้นสามัญทั้งหมดที่บริษัทถืออยู่ในบริษัท ดาราฮาร์เบอร์ จำกัด
จำนวน 26,000,000 หุ้น คิดเป็นร้อยละ 65
ของจำนวนหุ้นทั้งหมดของดาราฮาร์เบอร์ให้แก่บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน)
- บริษัท ที ยูทิลิตี้ส์ จำกัด (“TU”) ซึ่งเป็นบริษัทย่อย
ได้ชำระเพิ่มทุนจดทะเบียน โดยเรียกชำระเพิ่มเติมจากทุนจดทะเบียนที่เพิ่มขึ้น
60.00 ล้านบาท ในอัตราร้อยละ 50 คิดเป็นเงิน 30.00 ล้านบาท
และได้เรียกชำระครบทั้งจำนวน รวมทุนจดทะเบียนและทุนที่เรียกชำระแล้ว จำนวน 75.00
ล้านบาท ทั้งนี้ ตามที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทครั้งที่ 4/2560 เมื่อวันที่ 4
สิงหาคม 2560 ได้มีมติอนุมัติให้เปลี่ยนแปลงสัดส่วนการถือหุ้นใน TU
จากเดิมร้อยละ 40 เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 45 นอกจากนี้ ณ 31 ธันวาคม 2560 TU
ได้อยู่ระหว่างการเพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัทจากเดิม 75.00 ล้านบาท
เพิ่มขึ้นเป็น 300.00 ล้านบาท เพื่อรองรับการลงทุนในโครงการต่างๆ ของ TU
- บริษัทได้มีการแปลงหนี้ใน Kiroro Resort Holdings
เป็นทุนโดยการเพิ่มทุนจดทะเบียนของ Share Group จำนวน 1,205,000,000 เยน
เป็นหุ้นบุริมสิทธิ จำนวน 241,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 5,000 เยน ทำให้ปัจจุบัน
Property Perfect International ถือหุ้นใน Kiroro Resort Holdings
คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 98.10
ปี 2559
- บริษัทได้เข้าร่วมลงทุนกับบริษัท เอสซีไอ อิเลคตริค จำกัด (มหาชน) ใน บริษัท
ที ยูทิลิตี้ส์ จำกัด ในสัดส่วนร้อยละ 40 ซึ่งมี
แผนในการลงทุนในธุรกิจสาธารณูปโภค มีทุนจดทะเบียนและทุนที่เรียกชำระแล้ว
ทั้งจำนวน 15.00 ล้านบาท ต่อมาได้มีการเพิ่มทุนจดทะเบียน อีก
จำนวน 60.00 ล้านบาท รวมเป็นทุนจดทะเบียน 75.00ล้านบาท
โดยในการเพิ่มทุนจดทะเบียน 60.00 ล้านบาท
ได้เรียกชำระค่าหุ้นเพิ่มทุนในอัตราร้อยละ 25 คิดเป็นเงิน 15.00 ล้านบาท
รวมมีทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้วทั้ง
สิ้น 30.00 ล้านบาท
- ที่ประชุมคณะกรรมการของ KRH ได้มีมติอนุมัติการจัดตั้ง Kiroro Resort
Development Co., Ltd. เพื่อประกอบธุรกิจพัฒนา อสังหาริมทรัพย์
โดยมีทุนจดทะเบียน 30 ล้านเยน KRH มีสัดส่วนการถือหุ้นร้อยละ 100
- ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทย่อย (บริษัท วีรีเทล จำกัด (มหาชน) (“วีรีเทล”))
ได้มีมติอนุมัติจัดตั้งบริษัทร่วมทุนภายใต้ชื่อบริษัท
ออลล์ ดิสเคาท์ จำกัด เพื่อดำเนินธุรกิจค้าปลีกโดยมีทุนจดทะเบียน 100 ล้านบาท
(หุ้นสามัญ 1,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ หุ้นละ
100 บาท) (เรียกชำระร้อยละ 25) และ วีรีเทลมีสัดส่วนการถือหุ้นร้อยละ 50
- ที่ประชุมวิสามัญผ้ถู ือห้นุ ครั้งที่ 1/2559 เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2559
ได้มีมติอนุมัติการจัดสรรห้นุ สามัญเพิ่มทุนของบริษัทจำ
นวน ไม่เกิน 1,300 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท เพื่อเสนอขายเป็นคราวๆ
ให้แก่บุคคลในวงจำกัด (Private Placement)
และ ออกตราสาร วงเงินไม่เกิน 100
ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐอเมริกาหรือสกุลเงินอื่นเทียบเท่า
ปี 2558
- ที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2558 เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2558
มีมติดังนี้
- ได้มีมติอนุมัติให้บริษัทเปลี่ยนแปลงวิธีการชำระค่าตอบแทนให้แก่ผู้ถือหุ้นของบริษัท
ไทย พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) (“ไทยพร็อพ”)
ที่ตอบรับบริษัทถึงการเข้าซื้อกิจการของไทยพร็อพ
ด้วยวิธีการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของ ไทยพร็อพ
โดยบริษัทจะชำระค่าตอบแทนให้แก่ผู้ถือหุ้นของไทยพร็อพที่ตอบรับคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ดังกล่าวเป็นตัวเงิน
ในอัตราหุ้นละ 0.57 บาทเพียงวิธีเดียวเท่านั้น
- ได้มีมติอนุมัติให้บริษัทเปลี่ยนแปลงวิธีการชำระค่าตอบแทนให้แก่ผู้ถือหุ้นของบริษัท
แกรนด์ แอสเสท โฮเทลส์ แอนด์ พรอพเพอร์ตี้
จำกัด (มหาชน) (“แกรนด์แอสเสท”)
ที่ตอบรับบริษัทถึงการเข้าซื้อหลักทรัพย์ของแกรนด์แอสเสทด้วยวิธีการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของแกรนด์แอสเสท
โดยบริษัทจะชำระค่าตอบแทนให้แก่ผู้ถือหุ้นของแกรนด์แอสเสท
ที่ตอบรับคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ดังกล่าวเป็นตัวเงินในอัตราหุ้นละ
1.29 บาทเพียงวิธีเดียวเท่านั้น ทั้งนี้เนื่องจากที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นของ
แกรนด์ แอสเสท ได้อนุมัติให้จ่ายเงินปันผลเป็นหุ้นในอัตรา
20 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นปันผล
ดังนั้นราคาในการเข้าทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ของหุ้นแกรนด์ แอสเสท
จึงเปลี่ยนเป็นหุ้นละ 1.29
บาท
- ได้มีมติเป็นเอกฉันท์อนุมัติให้ลดทุนจดทะเบียนของบริษัท
จากทุนจดทะเบียนเดิม 10,737,610,610 บาท ให้เหลือทุนจดทะเบียน 5,960,980,722
บาท แบง่ ออกเเป็นหุ้นสามัญ 5,960,980,722 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ หุ้นละ 1 บาท
ด้วยการตัดหุ้นสามัญจดทะเบียนที่สำรองไว้เพื่อรองรับการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของบริษัท
ไทย พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) และ บริษัท แกรนด์ แอสเสท โฮเทลส์ แอนด์
พรอพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน)
รวมทั้งหุ้นสามัญที่ได้สำรองไว้เพื่อรองรับการปรับสิทธิให้แก่ผู้ถือใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัท
ครั้งที่ 1/2555 (PF-W3) รวมทั้งสิ้นจำนวน 4,776,629,888 หุ้น
มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท
- ได้มีมติให้เพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัท จากทุนจดทะเบียนเดิม 5,960,980,722
บาท ให้เป็นทุนจดทะเบียน 7,900,000,000 บาท กล่าวคือ
ให้เพิ่มทุนจดทะเบียนขึ้นอีก 1,939,019,278 บาท
โดยการออกหุ้นสามัญใหม่เป็นจำนวน 1,939,019,278 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ
1 บาท
- ได้มีมติอนุมัติให้จัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัท จำนวนไม่เกิน
1,928,031,552 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท
ออกจัดสรรและเสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัท
ตามสัดส่วนจำนวนหุ้นที่ผู้ถือหุ้นแต่ละรายถืออยู่ (Rights Offering)
ในอัตราจัดสรร 3 หุ้นเดิม ต่อ 1 หุ้นสามัญเพิ่มทุนใหม่
(ในกรณีที่มีเศษหุ้นจากการคำนวณให้ปัดทิ้ง) ในราคาเสนอขาย หุ้นละ 1 บาท
และให้นำหุ้นสามัญที่ออกใหม่ จำนวนไม่เกิน 10,987,726
หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท
สำรองไว้เพื่อรองรับการปรับสิทธิให้แก่ผู้ถือใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัท
ครั้งที่ 1/2555 (PF-W3)
- ปัจจุบัน บริษัทได้ออกหุ้นสามัญเพิ่มทุน จำนวน 1,806,495,077 หุ้น
มูลค่าหุ้นละ 1 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 1,806,495,077 บาท
และมีการใช้สิทธิตามใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญ (PF-W3) จำนวน
78,379,700 บาท
- จัดตั้งเงินลงทุนในการร่วมการค้า ในนามชื่อ บริษัท ดาราฮาร์เบอร์ จำกัด
โดยมีทุนจดทะเบียนและทุนที่เรียกชำระแล้ว 400,000,000
บาท ทุนจดทะเบียนเรียกชำระแล้ว จำนวน 200,000,000 บาท
บริษัทถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 65
- เพิ่มทุนจดทะเบียนใน บมจ. วีรีเทล
ตามสัดส่วนจำนวนหุ้นที่ผู้ถือหุ้นแต่ละรายถืออยู่ (Right Offering) ในอัตราส่วน
1 หุ้นเดิม
ต่อ 1 หุ้นใหม่ ในราคาหุ้นละ 1.10 บาท คิดเป็นจำนวนเงิน 1,300,985,485.80 บาท
ทำให้บริษัทถือหุ้นใน บมจ. วีรีเทล เท่ากับ ร้อยละ
94.98
ปี 2557
- บมจ. วีรีเทล ได้ลดทุนจดทะเบียนและทุนที่ออกและชำระแล้วจาก 6,337,678.570 บาท
(หุ้นสามัญ 1,267.535,714 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ
5 บาท) เป็น 1,330,912,499.70 บาท โดยการเปลี่ยนแปลงมูลค่าที่ตราไว้ของหุ้นสามัญ
จากหุ้นละ 5 บาท เป็นหุ้นละ 1.05 บาท และนำทุนที่ลดลงจำนวน
5,006,766,070.30 บาท
ไปลดส่วนต่ำกว่ามูลค่าหุ้นและชดเชยขาดทุนสะสมของวีรีเทลตามลำดับ
และได้เพิ่มทุนจดทะเบียนจาก 1,330,912,499.70
บาท เป็นจำนวน 4,761,824,999.40 บาท (หุ้นสามัญ 4,535,071,428 หุ้น
มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1.05 บาท)
- Property Perfect International ได้มีการแปลงหนี้ใน Share Group
เป็นทุนโดยการเพิ่มทุนจดทะเบียนของ Share Group จำนวน 500,000,000
เยน แบ่งเป็นจำนวนหุ้น 100,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 5,000 เยน
และนำหุ้นเพิ่มทุนดังกล่าวเสนอขายให้แก่ Property Perfect International
แล้ว Share Group จึงนำเงินที่ได้จากการเพิ่มทุนดังกล่าวกลับไปชำระหนี้ให้แก่
Property Perfect International ทำให้ปัจจุบัน
Property Perfect International ถือหุ้นใน Share Group คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ
95.61 (เดือนพฤศจิการยน 2557 Share Group เปลี่ยนชื่อเป็น
Kiroro Resort Holdings)
- ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2557 เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2557
ได้มีมติอนุมัติการเข้าซื้อกิจการ บมจ. ไทย พร็อพเพอร์ตี้
และ บมจ. แกรนด์ แอสเสท ตามแผนการเข้าซื้อกิจการ
รวมทั้งอนุมัติการดำเนินการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องอันได้แก่
การเพิ่มทุนและการจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนของบริษัทเพื่อเป็นสิ่งตอบแทนให้แก่ผู้ถือหุ้นของกับบมจ.
ไทย พร็อพเพอร์ตี้ และ บมจ. แกรนด์ แอสเสท ที่ตอบรับคำเสนอซื้อหลักทรัพย์
- เพิ่มทุนจดทะเบียน บจ. เพอร์เฟค สปอร์ต คลับ จำนวน 45,000,000 บาท
รวมเป็นทุนจดทะเบีนทั้งหมด 50,000,000 บาท และมีทุนจดทะเบียนชำระแล้ว
25,000,000 บาท
- ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2557
ได้มีมติจำหน่ายหุ้นสามัญทั้งหมดของบริษัทที่ถืออยู่ใน บมจ. กรุงเพท
บ้านและที่ดิน ให้แก่ บมจ. แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์
อย่างไรก็ตาม
การดำเนินการสำหรับการซื้อขายหุ้นดังกล่าวจำเป็นต้องได้รับการอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นของ
บมจ. แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ ในวันที่ 9 ธันวาคม 2557
ปี 2556
- คณะกรรมการบริษัทมีมติซื้อทรัพย์สินทั้งหมดคืนจากกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์
พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค ที่ราคา 505,000,000 บาท
และกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ พร็อพเพอร์ตี้
เพอร์เฟคได้จดทะเบียนเลิกกองทุนในเดือนมีนาคม
- จัดตั้งบริษัทย่อยชื่อ บจ. เชียงใหม่ ดีเวลลอปเมนท์
โดยมีทุนจดทะเบียนและทุนที่เรียกชำระแล้ว 200,000,000 บาท
แบ่งออกเป็นหุ้นสามัญจำนวน
2,000,000 หุ้นมูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 100 บาท บริษัทถือหุ้นร้อยละ 100
- เพิ่มทุนจดทะเบียนใน บมจ. วีรีเทล
ตามสัดส่วนจำนวนหุ้นที่ผู้ถือหุ้นแต่ละรายถือ (Right Offering) ในอัตราส่วน 8
หุ้นเดิมต่อ
5 หุ้นใหม่ ในราคา 1.10 บาท คิดเป็นจำนวนเงิน 500,400,000 บาท
ทำให้บริษัทถือหุ้นในบมจ. วีรีเทล เท่ากับร้อยละ 93.31
- เพิ่มทุนจดทะเบียนใน บจ. ยูนิลอฟท์ เซอร์วิส ซึ่งเป็นบริษัทย่อย อีกจำนวน
4,900,000 บาท จากทุนจดทะเบียนและเรียกชำระแล้วเดิม
100,000 บาท โดยเรียกชำระในอัตราร้อยละ 25 คิดเป็นเงิน 1,225,000 บาท
รวมเป็นทุนจดทะเบียนและเรียกชำระแล้วมูลค่า 1,325,000
บาท
- ลงทุนใน บจ. มารียา สตัฟฟ์ ซึ่งมีสิทธิการเช่าในที่ดิน บริเวณ เขตบางกะปิ
ด้วยวิธีการซื้อหุ้นสามัญ ทั้งหมดในราคา 350,000,000
บาท ทำให้ บจ. มารียา สตัฟฟ์ เป็นบริษัทย่อยที่บริษัทถือหุ้นร้อยละ 100
(ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น บจ. รามอินทรา มอลล์)
- จัดตั้งและร่วมลงทุนในกองทุนอสังหาริมทรัพย์ยูนิลอฟท์
ซึ่งรับโอนกรรมสิทธ์ในหอพักใกล้กับ มหาวิทยาลัยมหิดล (ศาลายา) จากบริษัท
โดยกองทุนอสังหาริมทรัพย์ยูนิลอฟท์มีทุนจดทะเบียนทั้งหมด 515,000,000 บาท
แบ่งเป็นจำนวนหุ้น 51,500,000 บาท มูลค่าหุ้นละ 10
บาท
ปี 2555
- ลงทุนในประเทศญี่ปุ่น โดยการนำบริษัทย่อยคือ Property Perfect International
เข้าลงทุนโดยการเข้าเป็นผู้ถือหุ้นใน Share Group
(ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น Kiroro Resort Holdings) ในสัดส่วนร้อยละ 69.01
ซื้อทรัพย์สินคือ โครงการคิโรโระ รีสอร์ท ซึ่งตั้งอยู่
ณ เกาะฮอกไกโด ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งรายละเอียดของทรัพย์สิน ประกอบด้วย
ที่ดินประมาณ 292 ไร่ โรงแรม จำนวน 2 โรงแรมรวม 422 ห้อง
รวมถึงทรัพย์สินในการประกอบกิจการโรงแรม เครื่องมืออุปกรณ์ต่างๆ
ที่เกี่ยวข้องกับการเล่นสกี
- บริษัทชำระค่าหุ้นเพิ่มเติมให้แก่ บจ. ยูแอนด์ไอ คอนสตรัคชั่น กรุงเทพ
อีกหุ้นละ 50 บาท รวมเป็นทุนจดทะเบียนชำระแล้ว 100,000
บาท บริษัทยังคงถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 100
- ลงทุนในหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ บมจ. วีรีเทล ซึ่งเป็นบริษัทย่อยจำนวน
363,912,024 หุ้นในราคาเสนอขายหุ้นละ 1.10 บาท รวมเป็นเงิน
400,303,226.40 บาทซึ่งทำให้บริษัทถือหุ้นใน บมจ. วีรีเทล รวมทั้งสิ้น
727,824,048 หุ้น คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 91.05
ปี 2554
- เพิ่มทุนใน บจ. ไบรท์ ดีเวลลอปเมนท์ กรุงเทพ จำนวน 500,000,000 บาท
เป็นทุนจดทะเบียนใหม่ 1,000,000,000 บาท ทำให้บริษัทถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ
100
- จัดตั้ง บจ. ยูแอนด์ไอ ดำเนินธุรกิจก่อสร้าง ทุนจดทะเบียน 100,000,000 บาท
และ ทุนเรียกชำระแล้ว จำนวน 50,000,000 บาท บริษัทถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ
100
- เปลี่ยนแปลงมูลค่าหุ้นของบริษัท จากมูลค่าเดิมที่ตราไว้ หุ้นละ 6 บาท
ให้เป็นหุ้นละ 1 บาท
- จัดตั้ง บจ. เพอร์เฟค พรีแฟบ บริษัทร่วมทุนระหว่างบริษัทและบริษัท เซ็นเตอร์
ออฟ สแตนดาร์ด พรีคาสท์ จำกัด โดยมีทุนจดทะเบียน
10,000,000 บาท และ เรียกชำระ 2,500,000 บาท บริษัทถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 51
- จัดตั้ง บจ. ยูนิลอฟท์ เซอร์วิส (ประเทศไทย) บริษัทย่อย ทุนจดทะเบียน 100,000
บาท บริษัทถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 100
- เพิ่มทุนจดทะเบียน บจ. เพอร์เฟค สปอร์ต คลับ จำนวน 4,000,000 บาท
รวมเป็นทุนจดทะเบียน 5,000,000 บาท
เพื่อนำไปลงทุนในธุรกิจทรูคอฟฟี่ภายในสโมสรของโครงการ
- ซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ บริษัท ไดโดมอน กร๊ป จำกัด (มหาชน)
ในลักษณะเฉพาะเจาะจง (Private Placement)
และซื้อหุ้นจากถือหุ้นเดิมทุกรายโดยการทำคำเสนอซื้อขายหลักทรัพย์ทั้งหมดของกิจการ
(Mandatory Tender Offer)
- ขายหุ้นสามัญของ บจ. เซ็นเตอร์ พ้อยท์ ช็อปปิ้ง มอลล์ ที่ถืออยู่
ทั้งหมดให้แก่ บริษัท ไดโดมอน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ในราคา
400,200,000 บาท โดยบริษัทจะรับชำระค่าขายด้วยหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ บริษัท
ไดโดมอน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น
บมจ. วีรีเทล
ปี 2553
- มกราคม 2553
- เพิ่มเงินลงทุนในบริษัท เอสเตท เพอร์เฟ็คท์ จำกัด (“เอสเตทฯ ”)
โดยการซื้อหุ้นสามัญออกใหม่ของเอสเตทฯ จำนวน 20 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ
10 บาท รวมเป็นเงิน 200 ล้านบาท เพื่อเป็นการรักษาสัดส่วนการถือ หุ้นของบริษัท
- ยกเลิกการร่วมทุนกับ บริษัท ทิมเบอร์ไลน์ อินเวสเม้นท์ พีทีอี. ลิมิเต็ด
ซึ่งถือหุ้นร้อยละ 40 ในบริษัท เซ็นเตอร์ พ้อยท์ ช็อปปิ้ง
มอลล์ จำกัด โดยการซื้อหุ้นคืนจากผู้ร่วมทุน จำนวน 4,000 หุ้นๆ ละ 100 บาท
รวมเป็นเงิน 400,000 บาท ทำให้บริษัทถือหุ้นในบริษัท
เซ็นเตอร์พ้อยท์ ช็อปปิ้ง มอลล์ จำกัด ร้อยละ 99.99
- เพิ่มเงินลงทุนในบริษัทย่อย “บริษัท เซ็นเตอร์พ้อยท์ ช็อปปิ้ง มอลล์ จำกัด”
จำนวน 499 ล้านบาท จากเดิมที่มี ทุนจดทะเบียน 1.0
ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 10,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 100 บาท
ทำให้ทุนจดทะเบียนใหม่ของบริษัทย่อยนี้ มีจำนวน
500 ล้านบาท และเรียกชำระเพียงร้อยละ 30 ของทุนที่เพิ่มใหม่ หรือ เท่ากับ 149.7
ล้านบาท ทำให้ทุนเรียกชำระแล้วของบริษัทเท่ากับ
150.7 ล้านบาท
- ซื้อกิจการใน บริษัท เรสซิเดนท์ นัมเบอร์ ไนน์ จำกัด
โดยการซื้อหุ้นจำนวนร้อยละ 100 เพื่อต้องการนำที่ดินใน บริษัท เรสซิเดนท์
นัมเบอร์ ไนน์ จำกัด มาพัฒนา
- เมษายน 2553
- แต่งตั้งกรรมการและกรรมการอิสระเพิ่มเติมอีก 1 ท่าน รวมเป็น 5 ท่าน
ทำให้จำนวนกรรมการบริษัท มีทั้งสิ้น 12 ท่าน
- ยกเลิกการออกและเสนอขายหุ้นกู้ในส่วนที่เหลือจำนวน 80 ล้านบาท
ตามที่ได้รับอนุมัติจากที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ประจำปี 2551
เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2551
- อนุมัติการออกและเสนอขายหุ้นกู้ทุกประเภทและรูปแบบ
(มีหลักประกันหรือไม่มีหลักประกัน) ภายในวงเงินไม่เกิน 4,000 ล้านบาท
อายุไม่เกิน
5 ปี เสนอขายภายในประเทศต่อประชาชนทั่วไป และ/หรือนักลงทุนประเภทสถาบัน
และ/หรือนักลงทุนเฉพาะเจาะจง ทั้งหมดหรือบางส่วน
ทั้งภายในประเทศและ/หรือต่างประเทศ
โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อนำเงินที่ได้จากการเสนอขายไปพัฒนาโครงการ ซื้อที่ดิน
และเพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนของบริษัท
- พฤษภาคม 2553
- อนุมัติจำนวนวงเงินคงเหลือ (Outstanding) ของตั๋วแลกเงินระยะสั้น ณ
ขณะใดขณะหนึ่งไม่เกิน 2,000 ล้านบาท
- สิงหาคม 2553
- ไถ่ถอนคืนหุ้นกู้มีประกันของบริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน)
ครั้งที่ 1/2552 มูลค่า 520 ล้านบาท ซึ่งครบกำหนดไถ่ถอน
พ.ศ.2555 ก่อนกำหนด
- พฤศจิกายน 2553
- อนุมัติการออกตั๋วแลกเงินเพิ่มเติม ในวงเงินไม่เกิน 1,000 ล้านบาท และ
พิจารณาวงเงิน Outstanding ณ ขณะใด ขณะหนึ่ง ไม่เกิน
3,000 ล้านบาท
ปี 2552
- เมษายน 2552
- จัดสรรกำไรส่วนหนึ่งเป็นเงินสำรองตามกฎหมาย จำนวน 40 ล้านบาท
และอนุมัติจ่ายเงินปันผลในอัตราหุ้นละ 0.36 บาท รวมเป็นเงิน 283,579,783.20
บาท โดยกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับเงินปันผลในวันที่ 14 พฤษภาคม
2552 (Record Date) และให้รวบรวมรายชื่อผู้ถือหุ้นตามมาตรา
225 ของพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535
โดยวิธีปิดสมุดทะเบียนในวันที่ 15 พฤษภาคม 2552 เป็นผู้มีสิทธิได้รับเงินปันผล
และบริษัทจะจ่ายเงินปันผลภายในวันที่ 30 พฤษภาคม 2552
- จ่ายเงินค่าตอบแทนพิเศษ(โบนัส) สำหรับผลการดำเนินงานปี 2551
ให้แก่คณะกรรมการบริษัทในวงเงินไม่เกิน 15 ล้านบาท
โดยมอบหมายให้ประธานกรรมการเป็นผู้พิจารณาจัดสรรเงินค่าตอบแทน
- จ่ายเงินค่าตอบแทนในรูปเบี้ยประชุมให้แก่คณะกรรมการบริษัทประจำปี 2552
ภายในวงเงินไม่เกิน 7.5 ล้านบาท
- แต่งตั้งให้ผู้สอบบัญชีของบริษัท สำนักงาน เอินส์ท แอนด์ ยัง จำกัด
โดยนายณรงค์ พันตาวงษ์ ผู้สอบบัญชีรับ อนุญาตทะเบียนเลขที่
3315 และ/หรือนางสาวทิพวัลย์ นานานุวัฒน์ ผู้สอบบัญชีรับอนุญาตทะเบียนเลขที่
3459 และ/หรือนางสาวศิราภรณ์ เอื้ออนันต์กุล ผู้สอบบัญชีรับอนุญาตทะเบียนเลขที่
3844 เป็นผู้สอบบัญชีของบริษัท ประจำปี 2552
และกำหนดเงินค่าตอบแทนให้ผู้สอบบัญชีภายในวงเงินไม่เกิน1.65 ล้านบาท
- สิงหาคม 2552
- ออกตั๋วแลกเงินระยะสั้น ในวงเงินไม่เกิน 1,000 ล้านบาท
- พฤศจิกายน 2552
- เพิ่มเงินลงทุนในหุ้นสามัญ บริษัท ไบรท์ ดีเวลลอปเมนท์ กรุงเทพ
จำกัด-บริษัทย่อย จำนวน 499 ล้านบาท แบ่งเป็น หุ้นสามัญจำนวน
4,990,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 100 บาท
เพื่อเป็นการรักษาสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัทย่อย
- ออกตั๋วแลกเงินระยะสั้น เพิ่มเติม ในวงเงินไม่เกิน 1,000 ล้านบาท
ปี 2551
- เมษายน 2551
- อนุมัติการออกและเสนอขายหุ้นกู้ทุกประเภทและรูปแบบ
(มีหลักประกันหรือไม่มีหลักประกัน) ภายในวงเงินไม่ เกิน 2,000 ล้านบาท
อายุไม่เกิน
5 ปี เสนอขายภายในประเทศต่อประชาชนทั่วไป และ/หรือนักลงทุนประเภท สถาบัน
และ/หรือนักลงทุนเฉพาะเจาะจง ทั้งหมดหรือบางส่วน
ทั้งภายในประเทศและ/หรือต่างประเทศ
โดยมี วัตถุประสงค์เพื่อนำเงินที่ได้จากการเสนอขายไปซื้อที่ดินพัฒนาโครงการ
ชำระหนี้ที่มีต้นทุนทางการเงินสูง และ เพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนของบริษัท
- จัดตั้งกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค (“กองทุนฯ ”)
มูลค่าหน่วยลงทุนของกองทุนฯ มีจำนวน 520 ล้านบาท โดยเป็นการลงทุนซื้อที่ดิน
และบ้านพักอาศัยประเภทบ้านเดี่ยว 2 ชั้นจำนวน 64 หลัง และประกัน
รายได้ขั้นต่ำเป็นระยะเวลา 5 ปี นอกจากนั้นบริษัทได้ลงทุนในกองทุนฯ
ในสัดส่วนร้อยละ 5.73 ของมูลค่าหน่วย ลงทุน และเพิ่มการลงทุนในกองทุนฯ
เป็นสัดส่วนร้อยละ 6.46 (ณ 30 มิถุนายน 2553)
- ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่
1/2551 วันที่ 20 มิถุนายน 2551 มีมติอนุมัติ ดังนี้
- ยกเลิกการออกและเสนอขายหุ้นกู้แปลงสภาพเป็นหุ้นสามัญในส่วนที่เหลือจำนวน 15
ล้านเหรียญสหรัฐอเมริกา
ตามที่เคยได้รับอนุมัติจากที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นของบริษัทครั้งที่
1/2548 เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2548
- ยกเลิกการออกและจัดสรรหุ้นสามัญจำนวน 39,000,000 หุ้น
ที่ได้สำรองไว้เพื่อรองรับการใช้สิทธิซื้อหุ้น
สามัญของผู้ถือใบสำคัญแสดงสิทธิที่บริษัทออกและเสนอขายให้แก่กรรมการ
และ/หรือ พนักงานของบริษัท ตามโครงการ ESOP
- ลดทุนจดทะเบียนจากทุนจดทะเบียนเดิม 6,213.56 ล้านบาท เป็นทุนจดทะเบียน
5,589.56 ล้านบาท คิดเป็น หุ้นสามัญจำนวน 931.59 ล้านหุ้น
มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 6 บาท
- อนุมัติการออกและเสนอขายหุ้นกู้แปลงสภาพเป็นหุ้นสามัญของบริษัทในวงเงินไม่เกิน
30 ล้านเหรียญ สหรัฐอเมริกา หรือเทียบเท่าเงินบาทไทยเป็นจำนวนเงินไม่เกิน
1,000 ล้านบาท อายุหุ้นกู้แปลงสภาพไม่เกิน 5 ปี
เพื่อเสนอขายผู้ลงทุนประเภทสถาบันต่างประเทศ หรือ ผู้ลงทุนประเภทสถาบันในประเทศ
- เพิ่มทุนจดทะเบียน จากทุนจดทะเบียนเดิม 5,589.56 ล้านบาท เป็นทุนจดทะเบียน
6,552.00 ล้านบาท โดยการออกหุ้นสามัญใหม่จำนวน 160.40
ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 6 บาท เพื่อรองรับการใช้สิทธิแปลง
สภาพหุ้นกู้เป็นหุ้นสามัญตามที่ที่ประชุมวิสามัญที่มีมติอนุมัติไว้แล้ว
ปี 2550
- มกราคม 2550
- จองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนตามสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัท กรุงเทพบ้านและที่ดิน
จำกัด (มหาชน) (“กรุงเทพบ้านฯ ”)
ที่ได้จัดสรรให้แก่บริษัทซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นจำนวน
6,000,000 หุ้น ในราคาหุ้นละ 10 บาท รวมทั้งสิ้น 60,000,000 บาท
เพื่อเป็นการรักษาสัดส่วนการถือหุ้นของบริษัทในกรุงเทพบ้านฯ
- เมษายน 2550
- จัดตั้งบริษัทย่อยขึ้นใหม่ มีชื่อว่า “บริษัท ไบรท์ ดีเวลลอปเมนท์ กรุงเทพ
จำกัด” เพื่อบริหารพัฒนาโครงการ เมโทร สกาย รัชดา
โดยมีทุนจดทะเบียน 1.0 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 10,000 หุ้น
มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 100 บาท บริษัทถือหุ้นร้อยละ 99.94
- ออกและเสนอขายหุ้นกู้มีประกันของบริษัท ไบรท์ ดีเวลลอปเมนท์ กรุงเทพ จำกัด
วงเงินรวมไม่เกิน 462,150,000 บาท อายุ 1 ปี เสนอขายให้แก่
Lehman Brothers Pan Asian Investments เพื่อนำเงินที่ได้จากการเสนอขายไปซื้อ
ที่ดินถนนรัชดาภิเษก
- กันยายน 2550
- ให้จัดตั้งบริษัทย่อยขึ้นใหม่ มีชื่อว่า “บริษัท เซ็นเตอร์พ้อยท์ ช็อปปิ้ง
มอลล์ จำกัด” เพื่อบริหารพัฒนาโครงการ ด้านศูนย์การค้า
บนที่ดินสิทธิการเช่าของบริษัทที่โอนขายสิทธิการเช่าให้แก่บริษัทต่างประเทศที่ร่วมทุน
ซึ่งมีความ เชี่ยวชาญทางด้านศูนย์การค้า
โดยมีทุนจดทะเบียน 1.0 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 10,000 หุ้น มูลค่า
ที่ตราไว้หุ้นละ 100 บาท บริษัทถือหุ้นร้อยละ 59.95
บริษัท ทิมเบอร์ไลน์ อินเวสเม้นท์ พีทีอี. ลิมิเต็ด ถือหุ้น ประมาณร้อยละ 40.00
ปี 2548
- เปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมโครงการแรก ภายใต้แบรนด์ “เมโทร
พาร์ค”
ปี 2536
- จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
- จดทะเบียนเป็นบริษัทมหาชนจำกัด
ปี 2528
- ก่อตั้งบริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน)